คลังชี้ศก.ปี66โต3.8% หนุนเก็บรายได้เพิ่ม ปิดช่องขาดดุลงบ

28 ธ.ค. 2565 306 0

 

          ตั้งเป้าเพิ่มรายได้รัฐ20%ต่อจีดีพี

         ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2666 ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกถดถอย จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลต่อราคาน้ำมันและต้นทุนอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อเรื่องเงินเฟ้อ โดยเฉพาะประเทศทางฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกาทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ

          นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยอมรับว่า เรื่องที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจไทยปี 2566 คือเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะกระทบภาคการส่งออก แต่คงไม่มาก เพราะสินค้าอื่นยังมีโอกาส โดยเฉพาะหมวดอาหาร เห็นได้จากช่วงไตรมาส 3 เข้าสู่ไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ราคาพืชผลเกษตรดีขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อมาจากภาคการเกษตรส่วนหนึ่ง

          ดังนั้นจึงคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะยังรักษาการเติบโตไว้ได้ที่ 3.8% ในปี 2566 จากที่คาดว่า จะขยายตัว 3.2% ในปี 2565  ที่ได้รับอานิสงส์มาจากจำนวนนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน แม้รายได้ไม่ถึงเป้า แต่ถือว่าปริมาณดีขึ้น ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่า จะทำได้ 8% และการใช้จ่ายภายในประเทศ

          “ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังมีโมเมนตันเรื่องการเจริญเติบโต เพราะเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นไป ซึ่งนอกจากการบริโภคแล้ว ยังมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะเป็นแรงส่งที่สำคัญ โดยรัฐบาลมีโครงการธงนำอยู่ คือ EEC ขณะนี้ขับเคลื่อนไปได้ แต่จะต้องมีการเร่งมากขึ้น เพื่อความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน“นายอาคมกล่าว

          อย่างไรก็ตาม การที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการลงทุน ก็ต้องมองความท้าทายในอนาคตที่จะเผชิญกับคือ

          1. เรื่องดิจิทัล ซึ่งไทยพัฒนามาในระดับที่ก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 แต่สิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจต่อไปจะต้องใช้ดิจิทัลเข้ามามากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจ รวมถึงภาครัฐด้วย

          2. โครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โครงการที่สำคัญเป็นเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า จะสนับสนุนสิ่งที่จะมาเติมเต็มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาการสนับสนุนไบโอพลาสติก ซึ่งสอดคล้องกับ BCG การใช้ชีวภาพ ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยในการลงทุน

          3.สังคมผู้สูงอายุ จะเป็นอีกหนึ่งด้าน เพราะผู้สูงอายุเป็นกำลังซื้อส่วนหนึ่ง โดยด้านการส่งเสริม จะต้องมองว่า จะทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของผู้สูงอายุในอนาคตดีขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่มีการดีไซน์สำหรับรองรับผู้สูงอายุในอนาคต ขณะที่รัฐนึ่งด้าน เป็นการจัดงบประมาณ ว่าจะต้องดูผู้สูงอายุให้มากขึ้น โดยเฉพาะสวัสดิการผู้สูงอายุ

          นายอาคมกล่าวถึงนโยบายการคลังว่า กระทรวงการคลังได้มีการส่งสัญญาณการขาดดุลลดลง เพื่อความยั่งยืนทางการคลังในอนาคตด้วย ส่งผลให้ปีงบประมาณ 2566 ได้มีการตั้งงบประมาณขาดดุลลดลง 5,000 ล้านบาทเหลือขาดดุล 6.95 แสนล้านบาท จากปีงบประมาณ 2565 ที่ขาดดุลเต็มเพดาน 7 แสนล้านบาท

          ดังนั้นในปีงบประมาณต่อไป จะตั้งงบขาดดุลลดลงไปอีก ส่วนจะมีโอกาสเห็นการตั้งงบประมาณที่สมดุลหรือไม่นั้นมองว่า จะต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งหากต้องการให้สมดุลเร็ว จะต้องพิจารณาในเรื่องการจัดเก็บรายได้ด้วย เพราะหากเก็บรายได้ได้มากก็จะขาดดุลได้น้อยลง

          อย่างไรก็ตามประเด็นที่สำคัญคือ การจัดเก็บรายได้รัฐต้องเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่สัดส่วนการจัดเก็บรายได้อยู่ที่ประมาณ 14%ต่อจีดีพี ซึ่งลดลงจากปี 2539 ที่เคยอยู่ที่ 18%ต่อจีดีพี เพราะที่ผ่านมา มีเฉพาะปรับลดอัตราภาษีแต่ไม่ได้เพิ่มเลย

          “หากจะดูศักยภาพการจัดเก็บรายได้นั้น ต้องดูว่าสัดส่วนการจัดเก็บของทั่วโลกอยู่ที่เท่าใด โดย 20%ต่อจีดีพี ถือว่าตามมาตรฐาน แต่เราต่ำกว่ามาตรฐาน ฉะนั้นต้องขยับรายได้ขึ้น จึงจะสามารถปิดช่องว่างการขาดดุลงบประมาณได้ และต้องมีการหารือกับสำนักงบประมาณ ด้วยว่า รายจ่ายที่ไม่จำเป็นต้องลดน้อยถอยลงไป“นายอาคมกล่าวทิ้งท้าย

 

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย