RMLเล็งซื้อโรงแรม3-4ดาว ปีดดีลปีนี้ 1 แห่ง มูลค่า 1 พันล้านในสิ้นปีนี้

24 ก.ย. 2563 653 0

         “ไรมอนแลนด์” เล็งปิดดีลซื้อโรงแรม 3-4 ดาว 1 แห่ง มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ หวังสร้างฐานรายได้ประจำมากขึ้น ย้ำครึ่งปีหลังโตรับกำลังซื้อระดับบนดี “กรณ์” วางเกมกลับสู่ผู้นำตลาดอสังหาฯ ระดับ Luxury-Super Luxury

          นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาหรือพิจารณาเข้าซื้อกิจการโรงแรมที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคตอยู่หลายแห่งของจังหวัดท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย คาดว่าจะสามารถปิดดีลได้อย่างน้อย 1 แห่ง ภายในสิ้นปี 2563

          โดยการเข้าซื้อกิจการโรงแรมดังกล่าว ต้องเป็นโรงแรมระดับ 3-4 ดาว เพราะโรงแรมระดับนี้สร้างรายได้ค่อนข้างสูงในตลาดท่องเที่ยวไทย รวมถึงอายุการเปิดให้บริการไม่เกิน 4 ปี มูลค่าที่ตั้งไว้เฉลี่ย 1,000 ล้านบาทต่อโครงการ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อกิจการในช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เพื่อการสร้างฐานรายได้ประจำให้มากขึ้น

          อย่างไรก็ตามแม้ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบหนักจากไวรัสโควิค-19 แต่ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก และยิ่งการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้สำเร็จ ทำให้ประเทศเป็นที่น่าจับตามองของชาวต่างชาติมากกว่าเดิม ซึ่งส่งผลดีต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาคการท่องเที่ยว เมื่อมีการเปิดน่านฟ้าระหว่างประเทศ

          ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 น่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่เป็นลูกค้าหลักยังมีกำลังซื้อ และมีการซื้อซ้ำหรือบอกต่ออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงนี้จะติดปัญหาในการโอนกรรมสิทธิ์ของลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน แต่บริษัทได้มุ่งทำการตลาดลูกค้าทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่ตกค้างในประเทศแทน ซึ่งการสำรวจความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าระดับบน พบว่ามีสัญญาณที่ดีมาก

          รวมทั้งผลบวกจากมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท และแคมเปญกระตุ้นตลาดของบริษัทรอบแรกที่สามารถปิดโครงการเดอะ ลอฟท์ อโศก (The Lofts Asoke) และล่าสุดได้จัดแคมเปญ Raimon Land Miracle 9 Miracle Deals เพื่อเพิ่มยอดขายในเดือนสุดท้ายของไตรมาส 3/2563

          อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทั้งปี 2563 บริษัทจะมีรายได้รวม 2,500-3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่า 8,400 ล้านบาท โดยเป็น Backlog ที่พร้อมโอนในส่วนของต่างชาติกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทาง เพื่อความสะดวกในการโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าต่อไปตามข้อจำกัดตามที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าคงเหลือขาย (Stock) อยู่ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท ที่สามารถเร่งระบายได้อย่างต่อเนื่อง

          นอกจากนี้บริษัทยังมีที่ดินเปล่า (Land bank) ในมือ 3 แปลงรวมมากกว่า 5 ไร่ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตเพิ่มเติม ส่วนฐานะการเงินบริษัทค่อนข้างแข็งแรง โดยมีกระแสเงินสดมากกว่า 700 ล้านบาท และมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 1 เท่า

          นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ต่อจากนี้ไปบริษัทจะมุ่งเน้น 4 ด้าน คือ 1. พัฒนาแบรนด์กลับไปยังจุดเดิม คือ ระดับ Luxury  และ Super Luxury ราคาระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด  รวมถึงการลดพัฒนาแบรนด์ที่ก้ำกึ่ง Luxury ลงอย่าง The Lofts เป็นต้น เพราะฐานลูกค้าค่อนข้างมั่นคงโดยเฉพาะลูกค้าชาวต่างชาติ ประกอบกับทีมขายที่ค่อนข้างแข็งแรงมาก 2.การรีเฟรชแบรนด์ให้ตอบสนองกลุ่มลูกค้าเดิม และฐานลูกค้ารุ่นใหม่ที่ค่อนข้างมีกำลังซื้อในอายุที่น้อยลง 3.การขยายฐานรายได้ประจำ เช่น โครงการ One City Centre อาคารสำนักงานเกรดเอ 52 ชั้น พื้นที่ใช้สอยกว่า 60,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ที่สามารถสร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี และโรงแรมตามที่กล่าวไว้ เป็นต้น และ4.การพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าให้ครบครันมากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าคนเดิม และเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ดังนั้นมองว่า 5-7 ปีจากนี้น่าจะช่วยหนุนรายได้รวมขึ้นไปแตะ 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นฐานรายได้ประจำ 10-20% จากปัจจุบันประมาณ 10% ภายใต้ฐานธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย