ค่าไฟแพง-ค่าแรงพุ่ง เขย่าอสังหาฯรอบใหม่

03 พ.ค. 2566 168 0

 

          เผชิญวิกฤตเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่หยุดหย่อน สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากตลอดปี 2565 เจอวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น ราคาวัสดุก่อสร้างแพงหูฉี่ ที่ได้รับเอฟเฟ็กต์สงครามรัสเซียยูเครน ล่าสุดปีนี้ยังมาเจอกับค่าไฟแพง ค่าแรงที่พุ่งไม่หยุด ผสมโรงอีกเด้ง ทำให้ต้นทุนที่ดูเหมือนจะคลี่คลายลง กำลังดาหน้ากลับมาพีค กระทบราคาบ้านขยับขึ้นอีกระลอก

          วรวุฒิ กาญจนกูล ประธานบริหารบริษัท ดับบลิวเฮ้าส์ จำกัด และกรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการรับสร้างบ้านเจอต้นทุนเพิ่มขึ้นหลายเด้ง นอกจากราคาพลังงานและน้ำมันแล้ว ยังมีค่าไฟแพงที่มีผลต่อต้นทุนวัสดุก่อสร้างเกือบทุกตัวปรับราคาขึ้น 10%

          จากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายน 2566 มีกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ปรับขึ้น 10% ปูนซีเมนต์ขึ้น 2-3% ส่วนเหล็กยังทรงตัว ล่าสุดบริษัทได้ปรับราคาบ้านขึ้น 10% แล้ว ถ้าไม่ปรับก็อยู่ไม่ไหว เพราะยังมีค่ารับเหมาก่อสร้างที่ปรับราคาขึ้น 10% ตามค่าแรง ขณะที่แรงงานหายาก

          อดีตนายกรับสร้างบ้านยังถอดรหัสต้นทุนก่อสร้างใน 1 โครงการนั้นแยกเป็นค่าแรงงาน 20-25% ที่เหลือ 75% เป็นค่าวัสดุก่อสร้าง เช่น อิฐ หิน ดิน ทราย ไม้แบบ ส่วนค่าไฟอยู่ที่ 1-2% เพราะในไซต์งานจะมีการใช้ไฟในแคมป์ คนงาน การเชื่อมโลหะและใช้อุปกรณ์ต่างๆ

          พร้อมฉายภาพว่าเอฟเฟ็กต์ค่าไฟแพงทำให้ลูกค้ากลุ่มระดับบนที่สร้างบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพิ่มออปชั่นติดตั้งโซลาร์รูฟเข้าไปด้วยเพื่อประหยัดค่าไฟ โดยให้ความสนใจเพิ่มขึ้นเป็น 80% จากเดิม 50% เช่น บ้าน 100 หลัง ลูกค้าสนใจติดโซลาร์รูฟจาก 50 หลัง เป็น 80 หลัง

          ด้านนายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน โอฬาร จันทร์ภู่ ยอมรับค่าไฟแพงส่งผลต่อต้นทุนก่อสร้างบ้าน แต่บริษัทรับสร้างบ้านเพิ่งปรับราคาขึ้น 5-10% เมื่อไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดังนั้น แนวโน้มในไตรมาส 2 คงยังไม่ปรับราคา รอดูสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างอีกครั้ง หากปรับคาดว่าจะเป็นไตรมาส 3 เป็นต้นไป เพราะต้นทุนไม่ได้มีเฉพาะค่าไฟ ยังมีค่าแรงและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นอีกด้วย

          สอดคล้องกับ พริ้งพราย นิธยานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กะรัต เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายก๊อกน้ำและอุปกรณ์ในห้องน้ำแบรนด์ “กะรัต” ระบุว่าค่าไฟที่สูงขึ้นกระทบต้นทุนการผลิตสินค้า แต่ยังไม่มาก เพราะที่โรงงานได้นำระบบอัตโนมัติมาควบคุมการใช้ไฟฟ้าในการเปิดและปิด ซึ่งช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่จากต้นทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ปรับราคาสินค้าทุกประเภทอีก 7-8% หลังไม่ได้ปรับมา 3 ปี ส่วนจะปรับขึ้นอีกหรือไม่นั้นรอดูสถานการณ์ไตรมาส 4 นี้ถึงต้นปี 2567

          ฝั่งของผู้ประกอบการอสังหาฯต่างเริ่มขยับราคาบ้านบ้างแล้ว โดย วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมต้นทุนต่อราคาบ้านยังไม่ปรับขึ้นมากนัก เมื่อเทียบปี 2565 ที่ต้นทุนสูงขึ้นมาจากราคาน้ำมัน ทำให้วัสดุก่อสร้างปรับราคา ซึ่งค่าไฟที่สูงขึ้นถือว่ากระทบ แต่ยังเป็นสัดส่วนที่น้อย เพราะปัจจัยหลักมาจากน้ำมัน

          ขณะที่ราคาบ้านปรับตามสภาพตลาด ที่เริ่มฟื้นตัวจากโควิด โดยไตรมาสแรกของ ปี 2566 บริษัทได้ปรับราคาแล้ว 2-3% ในส่วนของบ้านราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนบ้านกลุ่มอ่อนไหวราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท จะปรับขึ้น 1-2% สำหรับไตรมาส 2 จะปรับขึ้นอีก 2-3%

          อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตค่าไฟแพง เอ็มดีพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค บอกว่า ลูกค้าที่ซื้อบ้านให้ความสนใจการติดโซลาร์รูฟมากขึ้น จากเดิมจะติดเฉพาะบ้านราคา 30 ล้านบาท ปัจจุบันราคา 10 ล้านบาท ก็เริ่มสอบถามแล้ว ซึ่งบริษัทมีติดโซลาร์รูฟและคิดราคารวมไปกับราคาบ้านให้ลูกค้าเลือก โดยราคาบ้านที่ติดโซลาร์รูฟจะแพงขึ้นกว่าบ้านปกติประมาณ 1 แสนบาทต่อหลัง ทำให้การขายง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะอัตราการตัดสินใจของลูกค้าในการซื้อบ้านมีมากขึ้นถึง 20% เช่น จากเดิมบ้าน 10 หลัง จะซื้อ 3 หลัง พอมีติดโซลาร์รูฟ จะซื้อ 4 หลัง เป็นต้น

          เช่นเดียวกับ อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ย้ำชัดว่าปรากฏการณ์ค่าไฟแพงทำให้คนถามเรื่องการติดโซลาร์รูฟมากขึ้น ซึ่งแสนสิริตั้งเป้าปีนี้จะติดแผงโซลาร์ในบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทุกหลัง ทุกเซ็กเมนต์ รวม 1,200 หลัง เพิ่มจากปีที่แล้วติดอยู่ที่ 700 หลัง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟได้กว่า 1,000 บาทต่อเดือน ถือว่าค่าไฟแพงเป็นปัจจัยหนึ่งช่วยในการตัดสินใจของลูกค้า

          ถามว่าค่าไฟแพงในขณะนี้ส่งผลต่อราคาบ้านขึ้นตามหรือไม่นั้น ปัจจุบันยังไม่สะท้อนออกมาเพราะการขึ้นค่าไฟเพิ่งๆ สดๆ ร้อนๆ แต่ปรับขึ้นแน่นอนตามต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าแรง ค่าวัสดุ ซึ่งค่าไฟก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุน แต่จะขึ้นเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง ซึ่งต้องดูกำลังซื้อในตลาดด้วยและแสนสิริเพิ่งปรับราคาไปเมื่อปีที่แล้ว 6-8% ตามต้นทุนโดยรวมที่เพิ่มขึ้น ส่วนปีนี้คงต้องรอดูในครึ่งปีหลัง

          ทั้งนี้ แสนสิริติดตามต้นทุนรายไตรมาสอยู่แล้ว ถ้าไม่ขยับมากจะยังคงราคาเดิม หรือบางโครงการขึ้นไม่ได้จะไม่ขึ้น โดยเฉพาะสินค้าระดับล่างที่ปรับราคาลำบาก ในทางกลับกันก็พยายามลดต้นทุนก่อสร้างไปแล้ว เช่น ลดการใช้วัสดุที่ราคาแพง สั่งซื้อในจำนวนที่มากขึ้น และลดขนาดพื้นที่บ้านและคอนโดให้เล็กลง เช่น ปรับจากบ้านเดี่ยวเป็นบ้านแฝด ซึ่งจะเป็น ทางเลือกสุดท้าย

 

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย